แพทยศาสตร์ ศาสตร์ที่เรียนไปเพื่อเป็นแพทย์ หรือ หมอ นั่นเอง คณะนี้เป็นวิชาชีพ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการ ตรวจวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การเยี่ยวยารักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ เป็นแขนงอาชีพที่ต้องใช้ทักษะ และความรู้อย่างสูง
เมื่อผ่านการสอบจนได้เรียนในคณะแพทยศาสตร์แล้วนั้น เราจะต้องเจอการเรียนที่เกี่ยวกับสุขภาพและร่างกายเพราะหน้าที่ของหมอคือการรักษาคนไข้ให้หายจากอาการเจ็บป่วย
ในแต่ละมหาวิยาลัยอาจจัดหลักสูตรการเรียนการสอนต่างกันไปตามแต่ละสถาบันแต่แพทย์ทุกสถาบันจะต้องเรียนทั้งหมด6ปี โดยวิชาหลักๆก็จะมีเช่น
ช่วงแรก เรียกว่า Pre clinic จะเรียนในชั้นปีที่ 1-3
ปี 1 Basics science (วิทยาศาสตร์พื้นฐานการแพทย์) ชั้นปีนี้เรียกว่าชั้นเตรียมแพทย์ โดยที่เนื้อหาที่เรียนนั้นจะเป็นวิชาทั่วไปได้แก่ Calculus สถิติ เคมีอนินทรีย์ เคมีอินทรีย์ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ เช่น Experimental English , English for Medicine ซึ่งจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับแพทย์ ศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ เรื่องเกี่ยวกับแพทย์ทั่วๆไป Hospital approach,ประวัติทางการแพทย์
Basic science และ Basic medical science
Basic science ก็คือเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ เหมือนสมัยมัธยม
Basic medical science
– behavior เป็นวิชาการจัดการ จิตวิทยา การวิจัย
– anatomy กายวิภาคศาสตร์
– physiology ระบบการทำงานของร่างกาย
– pathology การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ทำให้เกิดโรค
– phamacology กลไกการทำงาน การออกฤทธิ์ ผลกระทบของยาแต่ละตัว
ยกตัวอย่างเช่น
รายวิชา Anatomy หรือชื่อภาษาไทยคือ กายวิภาคศาสตร์ ที่จะต้องเรียนเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ทั้งหมดทั้งภายนอกและภายในโดยจะต้องใช้ร่างของคนจริงๆในการเรียนหรือที่เราจะคุ้นชินกับคำว่าอาจารย์ใหญ่คนเรียนแพทย์จะต้องได้จับ สัมผัส หรือแม้กระทั่งลงใบมีดผ่ากับร่างกายคนจริงๆ โดยจะแบ่งเป็นสามหมวดใหญ่ๆคือ
- Gross anatomy (มหกายวิภาคศาสตร์) เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายที่มองเห็นด้วยเปล่า กล้ามเนื้อ กระดูก มีการทำแลปที่เรียกกันว่าทำแลปกรอส หรือ การผ่าร่างอาจารย์ใหญ่
- Embryology (วิทยาเอมบริโอ) เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาตั้งแต่การปฎิสนธิไปจนกระทั่งถึงการคลอด
- Histology จะศึกษาโครงสร้างของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่ในการเรียนจะได้ทำแลปคือการส่องดูเนื้อเยื่อ
Pharmacology เภสัชวิทยา เรียนเกี่ยวกับยา การใช้ยา กลไกการออกฤทธิ์ของยา ผลกระทบผลข้าเคียงของยาชนิดนั้นๆ
Biochemistry ชีวเคมี เรียนกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย การสลายและสร้างสารต่างๆในร่างกาย ซึ่งถ้ากลไกเหล่านี้ผิดปกติไปจะเกิดโรค
Physiology สรีรวิทยา เกี่ยวกับกลไกการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายเช่นระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขับถ่าย ระบบหายใจ ระบบประสาท
Neuroscience ประสาทวิทยา เป็นรายวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทแบ่งเนื้อหาเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ
- Neuroanatomy ประสาทกายวิภาคศาสตร์ ศึกษาโครงสร้างของระบบประสาทได้แก่ สมอง เส้นประสาท ไขสันหลัง
- Neurophysiology ประสาทสรีวิทยา ศึกษาการทำงานของระบบประสาท จบความรู้ของความปกติของ
– Integument ระบบปกคลุมร่างกาย เช่น ผิว ผม เล็บ
– locomotive ระบบเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ได้แก่กระดูก กล้ามเนื้อ
– cardiovascular ระบบหัวใจและหลอดเลือด
– respiratory การหายใจ
– gastro-intestinal ทางเดินอาหาร
– KUB ทางเดินปัสสาวะ
– reproductive การสืบพันธ์
– neurology ระบบประสาท
ก่อนจะก้าวไปในชั้นปีที่ 4 นักเรียนแพทย์ปี 3 จะต้องสอบความรู้พื้นฐาน pre clinic
ซึ่งจัดสอบโดยแพทย์สภาก่อนโดยการสอบนี้จะมีผลกับการอนุมัติใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
(หรือใบประกอบโรคศิลป์) เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว
ช่วง Clinic จะเรียนในชั้นปีที่ 4-6
Clinical skill คือการเรียนรู้การทำงานจริง และการฝึกกับผู้ป่วยจริง
เป็นการเรียนรู้บนหอผู้ป่วยจริงๆ ได้รับเคสผู้ป่วย ซักประวัติ ตรวจร่างกาย บอกแนวทางการส่งตรวจเพิ่มเติม บอกแนวทางการรักษา และทำหัตถการเบื้องต้นได้ เช่น เย็บแผล เจาะน้ำในท้อง เจาะน้ำในปอด เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จะได้เรียนรู้และฝึกฝนในการเรียนชั้นปีที่ 4 และ 5 การเรียนใน 2 ชั้นปีนี้จะได้ขึ้นปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยหรือวอร์ด ของแต่ละภาควิชา มีตั้งแต่วอร์ดหลักได้แก่ ศัลยศาสตร์ อายุรศาสตร์
สูติ-นรีเวชศาสตร์ กุมารเวชศาสตร์ หรือจะเป็นวอร์ดย่อยเช่น จิตเวชศาสตร์ นิติเวชศาสตร์ เป็นต้น โดยจะได้ปฏิบัติงานแต่ละวอร์ด วนไปเรื่อยๆตลอดทั้งปี บางวอร์ดอาจจะอยู่ 6-10 สัปดาห์ บางวอร์ดอาจจะอยู่เพียงแค่ 1-3 สัปดาห์
เราจะเรียกนักเรียนแพทย์ปีที่ 6 นี้ว่า Extern ปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายของการเรียนแพทย์ ในปีนี้จะได้ทำงานเปรียบเสมือนเป็นแพทย์จริงๆได้ตรวจผู้ป่วย ให้การรักษาด้วยตนเอง และต้องทำหัตถการหลายๆอย่างได้เอง แต่จะมีอาจารย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างคร่าวๆของรายวิชาที่จะได้เรียนในช่วงชั้น clinic
Microbiology จุลชีววิทยา การก่อโรคจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หนอนพยาธิต่างๆ Pathology พยาธิวิทยา เป็นการศึกษาและวินิจฉัยโรคจากการตรวจอวัยวะ, เนื้อเยื่อ, เซลล์, สารคัดหลั่ง, และจากทั้งร่างกายมนุษย์
Medical genetics พันธุศาสตร์การแพทย์ ศึกษาเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ที่เกี่ยวกับกลไกการเกิด วิชาในปี 3 นี้ก็จะมีบางวิชาต้องไปเรียนในตัวโรงพยาบาลเช่น พยาธิวิทยา เป็นต้น และปี 3 เทอม 2 จะได้เรียนวิชาอาการวิทยา หรือการตรวจร่างกายเบื้องต้น
เอาล่ะครับของจบส่วนของPreclinic เพียงเท่านี้นะครับ แล้วเตรียมพบกับชั้น Clinic ต่อไป
– OB-gyne สูติ-นรีเวช
– surgery การผ่าตัด
– internal medicine การรักษาโดยการใช้ยา
– pediatric เด็ก
– orthopedics กระดูกและข้อ
– ophthalmology ตา
– ENT หู คอ จมูก
– Emergency ฉุกเฉิน
– Anesthesiology วิสัญญณีวิทยา การดมยาสลบ
– commed-fammed การดูแลแบบองค์รวม การทำวิจัย
– psychiatric จิตเวช
– rehabilitation กายภาพบำบัด
แม้จะเรียนจบทั้ง 6 ปีแล้ว บัณฑิตแพทย์จบใหม่ก็ยังเป็นแค่แพทย์ทั่วไป คือสามารถตรวจรักษาโรคทั่วไปได้ แต่จะยังไม่มีความชำนาญในสาขาใด เป็นพิเศษ แพทย์ส่วนมากต้อง ผ่านการ “ใช้ทุน” เป็นระยะ เวลา 3 ปีก่อน จึงจะสามารถ กลับเข้ามาเรียนต่อในสาขาเฉพาะทางที่ตัวเองสนใจได้ ซึ่งกว่าจะจบจะต้องผ่านการเรียนต่อที่เรียกว่าการเรียน “แพทย์ประจำบ้าน” (Resident) และถ้าจะศึกษาในสาขาเฉพาะต่อไปอีกก็จะต้อง เรียนต่อ เรียกว่าเรียนเป็น “แพทย์ประจำบ้าน ต่อยอด” (Fellowship) อีก 1-2 ปี จึงอาจกล่าวได้ว่ากว่าจะเรียนจบเป็นแพทย์เฉพาะทาง ต้องใช้เวลาเรียนกันเป็น 10 ปี
รายวิชาที่ยกตัวอย่างมานี้อาจจะเรียนต่างชั้นปีกันออกไป ตามที่มหาวิยาลัยจะกำหนด
มาดูเส้นทางกว่าจะได้เป็นแพทย์กันเถอะ ว่าต้องเริ่มจากจุดไหนบ้าง
ก่อนอื่นคนที่จะเรียนแพทย์ได้นั้นจะต้องจบแผนวิทย์-คณิต ในการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมาก่อนพูดง่ายๆยคือต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นั่นเอง เมื่อจบระดับมัธยมศึกษาแล้วก็ต้องสอบเพื่อจะเข้าศึกษาต่อในคณะแพทย์ให้ได้โดยจะต้องสอบตามเกณฑ์ที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดซึ่งจะกำหนดต่างกันออกไป
โดยแพทย์จะต้องเรียนเกี่ยวกับร่างกายทั้งหมดเช่นระบบในร่างกาย ความผิดปรกติของร่างกาย พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
ทำอย่างไรจึงจะได้เรียนหมอ
1 รับตรง คือ โควตาที่แต่ละมหาวิทยาลัยจัดสอบตามพื้นที่นั้นๆโดย ข้อสอบจะเป็นของมหาวิทยาลัยทำการออกเอง การเลือกในระบบรับตรงจะเลือกได้สูงสุด 2 คณะ
2 กสพท. [กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย] คะแนนที่ใช้ก็แบ่งออกเป็น สัดส่วน 70 : 30 คือ
วิชาเฉพาะแพทย์ 30%
7 วิชาสามัญ 70 % แบ่งออกเป็น 7 วิชาดังนี้
วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ40% ( 28%)
คณิตศาสตร์ 20% ( 14%)
อังกฤษ 20% ( 14%)
ไทย 10% ( 7%)
สังคม 10% (7%)
รวม 100% (70%)
ถึงแม้ว่าจะใช้คะแนนวิชาเฉพาะแพทย์ และ 7 วิชาสามัญ แต่จะต้องสอบO-NET ที่ 5 กลุ่มวิชา (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และ สังคม) จะต้องมีคะแนนรวม (เฉลี่ยจากทั้งห้าวิชา) ไม่น้อยกว่า 60% ด้วยและจะต้องทำ
คะแนนสอบ “วิชาสามัญ” คะแนนสอบจะต้องเกิน 30% ในแต่ละรายวิชา
3 แอดมิชชั่น โดย จะใช้คะแนน GAT-PATเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบคะแนนในการคัดเลือกในระบบแอดมิชชั่น
รูปแบบที่ 1 GAT + PAT2
รูปแบบที่ 2 GAT + PAT1 + PAT2
(GAT = ความถนัดทั่วไป,PAT1 = ความถนัดทางคณิตศาสตร์,PAT2 = ความถนัดทางวิทยาศาสตร์)
สัดส่วนในการใช้ GAT-PAT ของคณะ แพทยศาสตร์ คือ
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 20% และ PAT 2 30%
อาชีพหลังจากเรียนจบ
แน่นอนว่าจบแพทย์ก็ต้องได้เป็นแพทย์ แต่ก็จะมีแพทย์แยกออกไปตามแต่ละสาขา
เรียกว่าแพทย์เฉพาะทาง โดยจะต้องผ่านการอบรมมาก่อนเมื่อผ่านการอบรมมาแล้วก็สามารถจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆได้
ยกตัวอย่างเช่น จักษุแพทย์ การวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับดวงตา สายตา และมีหน้าที่ในการรักษาไม่ว่าจะวิธีใช้อุปกรณ์เสริม หรือการผ่าตัด เพื่อให้ดวงตาของผู้ป่วยสมบูรณ์ จิตแพทย์ บำบัดความผิดปกติที่เกิดขึ้นทางจิตของผู้ป่วย ซึ่งจิตแพทย์สามารถรักษาได้ทั้งวิธีการให้ยา ผ่าตัด ไปจนถึงการช็อตด้วยไฟฟ้า สูตินารีแพทย์ ดูแลสตรีโดยเฉพาะ ที่รวมไปถึงการคลอดบุตรด้วย ศัลยแพทย์ ผ่าตัด เย็บแผล รวมไปถึงงานหัตถการอื่นๆ
อายุรแพทย์ ดูแลรักษาด้วย”ยา” ศึกษาโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ เป็นต้น
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางคือใคร
หลังจากใช้ทุน 3 ปี แพทย์ส่วนใหญ่จะไปเรียนต่อเป็น แพทย์เฉพาะทาง หรือเรียกว่า ไปต่อบอร์ด(Board)
เนื่องจากความต้องการด้านการแพทย์ความงามได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แพทย์ที่จบใหม่ ต่างมุ่งหวังเข้ามาสู่ตลาดแห่งนี้ แต่เดิมนั้นแพทย์ที่ต้องการเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใด ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตา หู คอ จมูก ต่างต้องสมัครเข้ารับการฝึกอบรมจากโรงเรียนแพทย์หลังจากที่จบแพทย์ศาสตร์บัณฑิตแล้ว และส่วนใหญ่ต้องผ่านการทำงานในโรงพยาบาลของรัฐแล้วอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งในช่วง 3 ปีนี้แพทย์ทุกท่านจะได้รับประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยทั่วไปมาเป็นอย่างดี
ในช่วงการฝึกอบรมเพื่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่ว่าจะเป็นสาขาใด แพทย์ทุกท่านจะถูกอาจารย์แพทย์ทั้งอบทั้งรม บ่มเพาะจนได้ที่ เป็นเวลาอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อที่จะผ่านด่านการสอบเพื่อ “ใบวุฒิบัตรของการเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา (Board certified) “ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งหลายได้เรียนลงในแนวลึก เห็นทั้งข้อดีข้อเสีย และที่สำคัญอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
ระหว่างเรียนเราเรียกแพทย์ นักเรียนนี้ว่า แพทย์ประจำบ้าน หรือ Resident
เมื่อเรียนจบต้องมีการสอบว่าผ่านการประเมินหรือไม่ เรียกง่าย ๆ ว่า สอบบอร์ด
ถ้าสอบผ่าน ก็จะได้เป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือ specialist ของสาขานั้น ๆ
การจบเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ ก.พ.จะเทียบขั้นและให้เงินเดือนเท่ากับวุฒิปริญญาเอก
แต่เนื่องจากในปัจจุบัน วิชาแพทย์ได้พัฒนามากขึ้น ความรู้มากขึ้น
การเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาหรือแต่ละเฉพาะทาง ก็จะต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญกันมากขึ้นไปอีก
ก็ต้องเรียนเพิ่มไปอีก 1-5 ปีแล้วแต่ละสาขา
เราเรียนการเรียนนี้ว่า subspecialty ตัวแพทย์ก็เรียกว่า subspecialist หรือ subboard การเรียนเพื่อเป็น subspecialist นั้น มีการเรียนหลายแบบ
ส่วนใหญ่ จะต้องเรียนจบได้เป็น specialty ก่อน
ตัวอย่างเช่น ถ้า specialty เป็นอายุรกรรม
subspecialty ก็มีตั้งแต่ อายุรกรรมโรคหัวใจ โรคปอด ไตและทางเดินปัสสาวะ ผิวหนัง โรคติดเชื้อ ด้านสมอง โรคต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
แต่ในบางครั้ง subspecialist จะเป็นแบบเรียนรวมไปทีเดียว
อาทิ จะเป็น subspecialist ด้านโรคผิวหนัง ก็จะเรียนอายุรกรรม 1-2 ปีแล้วต่อด้วยด้านผิวหนังต่อ อีก 3 ปีไปในครั้งเดียวเป็นต้น
การเรียนเป็นแพทย์เฉพาะทางในสาขาขาดแคลนบางสาขา สามารถเรียนต่อได้ทันทีเมื่อจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว
หรือ ไปเป็นแพทย์ใช้ทุนในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งจะได้สิทธิในการสอบบอร์ดเป็นแพทย์เฉพาะทางได้เร็วกว่าปกติ
เพราะจะนับเวลาการใช้ทุนไปเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนด้วย
หรือ การเรียนเป็นแพทย์ subspecialist บางอย่างที่ไม่ได้ต้องการประกาศนียบัตรหรือไม่ได้มีหลักสูตรที่เคร่งครัดเหมือนกับหลักสูตรปกติ
ก็สามารถมาเรียน เพิ่มประสบการณ์ เป็น แพทย์ปฎิบัติการ (Fellowship) ได้
การเรียนแบบอื่น ๆ ก็มี เช่น เป็นหลักสูตรปริญญาโท หลังจากเรียนจบแพทย์ทั่วไป
จบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังมา 10ปี ทำงานราชการได้เงินเดือนเพียง 25,000 บาท
บางคนได้เงินเพิ่มค่าไม่ทำคลินิคอีกเดือนละ 10,000 บาท และค่าวิชาชีพประมาณ 10,000 บาท
รวมแล้ว ชีวิตของแพทย์ subspecialty วัยกลางคน ตอนนี้ได้เงินเดือน 45,000 บาท
มีแพทย์บางคนจบสาขาเดียวกันแต่ทำเอกชนหรือบางคนเป็นแพทย์ทั่วไปแต่เปิดคลินิกผิวหนังได้เงินจำนวนเดียวกันนี้ได้ในเวลา 1-5 วันเท่านั้น